The Black Phone (2022) สายหลอน ซ่อนวิญญาณ
ฟินนีย์ ชอว์ เด็กชายขี้อายแต่ชาญฉลาดวัย 13 ปี ซึ่งถูกฆาตกรซาดิสต์ลักพาตัวไปขังอยู่ในห้องใต้ดินเก็บเสียง ซึ่งในที่แห่งนี้ การกรีดร้องไม่ก่อเกิดประโยชน์ใด ๆ ในตอนที่โทรศัพท์ไร้สัญญาณที่ติดอยู่ตรงผนังเริ่มส่งเสียงดังขึ้นมา ฟินนีย์ก็ค้นพบว่าเขาสามารถได้ยินเสียงของเหยื่อคนก่อน ๆ ของฆาตกรรายนี้ ดูหนังออนไลน์ และเหยื่อเหล่านั้นก็ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะทำให้แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจะต้องไม่เกิดขึ้นกับฟินนีย์ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ‘The Black Phone’ หรือ ‘สายหลอน ซ่อนวิญญาณ’ กับหมอแปลก ‘Doctor Strange’ ฮีโรจากค่าย Marvel มันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่นิด ๆ นะครับ ดูหนัง เหตุผลก็เพราะว่า สก็อต เดอร์ริกสัน (Scott Derrickson) ผู้กำกับสายสยองขวัญที่เคยสร้างชื่อใน ‘Sinister’ ทั้ง 2 ภาค รวมทั้ง ‘The Exorcism of Emily Rose’ (2005) แกเคยแวบไปกำกับ ‘Doctor Strange’ (2016) มาก่อนแล้วทีหนึ่ง ดูหนังฟรี
ถ้าไม่นับหนังสั้นความยาว 12 นาทีอย่าง Shadowprowler ที่เขาถ่ายทำกับครอบครัวของเขาเองในช่วงที่มีการระบาดของไวรัสที่ผ่านมา นั่นอาจเป็นไปได้ว่า เราจะได้เห็นวิสัยทัศน์บางอย่างที่เขาอยากจะใส่ลงไปใน Doctor Strange2 ภายในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้
เด็กวัย 13 ปี ชื่อว่า ฟินนี่ย์ (Mason Thames) ถูกชายลึกลับคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นนักมายากลจับตัวไป แท้จริงแล้วชายคนนี้เป็นฆาตกรโรคจิตที่มีนามเรียกขานว่า The Grabber (Ethan Hawke) ชอบจับเด็กมาขังไว้ในห้องใต้ดินแล้วสังหารเหยื่อทิ้ง และภายในห้องใต้ดินนั้นมีโทรศัพท์โบราณสีดำลึกลับที่ถูกตัดสายแล้วเครื่องหนึ่งอยู่
ทุกๆ คืนโทรศัพท์จะดังขึ้นมา และปลายสายนั้นคือเสียงของเหล่าบรรดาเหยื่อผู้โชคร้ายที่จะบอกใบ้ฟินนี่ย์ถึงวิธีที่จะออกไปจากที่แห่งนี้ และอีกด้านน้องสาวของเขา เกว็น (Madeleine McGraw) ก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตามหาพี่ชายของเธอ โดยใช้เบาะแสเท่าที่มีอยู่
ส่วนนี้คือดีมากๆ เพราะเรื่องนี้เป็นหนังทุนต่ำ แต่ผลงานที่ออกมามันดีเกินคาด คืองานภาพและโปรดักชั่นไม่เหมือนหนังทุนต่ำเลย ฉากฆ่าหรือฉากสยองนี่ทำออกมาได้ดีมากๆ เลือดสาดจัดเต็ม สมจริงอยู่ในระดับนึงเลย ฉากผีก็ทำออกมาหลอนดี และอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ บรรยากาศในหนังดีมากๆ เป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดในเรื่องเลย บรรยากาศมันดูหม่นๆ เงียบเชียบ มันทำให้เรารู้สึกไม่ไว้ใจ ไม่รู้จะมีผีโผล่มาตอนไหน มุมกล้องต่างๆ ทำออกมาได้ดี เสื้อผ้าหน้าผม การออกแบบตัวละครก็ดีเยี่ยม อันนี้ต้องชมเลย หน้ากากและลักษณะของตัวละครฆาตกรทำออกมาได้ดีมากๆ ส่วนนี้ผมชอบมากเลย โดยรวมด้านงานภาพและโปรดักชั่นผมไม่มีอะไรจะติเลย สรุปเลยคือ ใครที่ชอบหนังผีกับหนังฆาตกรรม ไม่ควรพลาดเรื่องนี้จริงๆ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน
เดอร์ริกสันนักเขียนบทคู่บุญ ซี โรเบิร์ต คาร์กิลล์ (C. Robert Cargill) ที่เคยเขียนบทด้วยกันทั้ง ‘Sinister’ (2012) ‘Sinister 2’ (2015) และหมอแปลกภาคแรก ก็มีความตั้งใจไว้แล้วแหละว่าจะกลับมากำกับภาคต่อ ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ (2022) แต่ว่าด้วยความที่ไอเดียไม่ลงรอยกัน เดอร์ริกสันกับคาร์กิลล์ก็เลยขอบาย หันกลับมาสร้างหนังสยงขวัญทุนต่ำในแบบที่คุ้นเคย จนออกมาเป็น The Black Phone ได้ในที่สุด
ที่ผู้เขียนบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญทุนต่ำ อันนี้ต้องเน้นย้ำว่าทุนเค้าต่ำเตี้ยเรี่ยดินจริง ๆ นะครับ เพราะหนังสยองขวัญเรื่องใหม่ล่าสุดจากค่าย ‘บลัมเฮาส์ โปรดักชันส์’ (Blumhouse Productions) เรื่องนี้ เขาใช้ทุนสร้างแค่ 18.8 ล้านเหรียญเองครับ แต่เห็น Low Cost แบบนี้ ทำรายได้ฉายในต่างประเทศฟาดไปเกือบ 100 ล้านเหรียญ พร้อมกับคำวิจารณ์ที่ถือว่าค่อนไปทางบวกเป็นส่วนใหญ่
ที่พยายามหยิบใช้ทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์แนวนี้มาใส่อย่างเต็มที่ เริ่มจากการใช้ท้องเรื่องเป็นยุค 70 ที่เลื่องชื่อในเรื่องของคดีลักพาตัว และพวกฆาตรกรต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความขลังและดูน่าเชื่อถือให้กับตัวเรื่อง ถึงกระทั่งในเรื่องเองยังมีการกล่าว(อย่างอ้อมๆ)ถึงภาพยนตร์เรื่อง The Texas Chainsaw Massacre (1974)
ในฐานะของภาพยนตร์สยองขวัญที่เด็กๆ ในเรื่องหวาดกลัว และแน่นอนว่า ฆาตกรต่อเนื่องโรคจิต ใส่หน้ากาก ไล่ล่าเหยื่อก็เป็นสัญลักษณ์ประจำของความสยองขวัญที่ทั้ง เลเธอร์เฟซ (Leatherface) และ เดอะ แกร็บเบอร์ (The Grabber) เอง รวมถึงฆาตกรต่อเนื่องรายอื่นๆ ใช้เพื่อข่มขวัญคนดูอย่างได้ผลมานักต่อนักแล้ว
ในส่วนของการเล่าเรื่อง แม้ว่าในช่วงแรกจะมีการปูเนื้อเรื่องและตัวละครนานไปสักหน่อย แต่ถ้าดูจนจบก็เข้าใจว่าจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น แต่สิ่งที่นับว่าเป็นความฉลาดไม่น้อยเลย คือ การใส่เส้นเรื่องรองเข้ามาเสริม ซึ่งก็คือ (สปอยเล็กน้อย) ความสามารถพิเศษของเกว็น น้องสาวของฟินนีย์ ให้มีส่วนช่วยในการตามหาพี่ชายของเธอได้ ซึ่งนั่นทำให้เราไม่ต้องจำเจอยู่กับในคุกสี่เหลี่ยมใต้ดินตลอดทั้งเรื่อง ช่วยให้การเล่าเรื่องจึงมีการสลับไปมาระหว่างการเอาตัวรอดของฟินนีย์และการตามหาพี่ชายของเกว็น ที่ในท้ายที่สุดสองเส้นเรื่องนี้ก็มาบรรจบกันได้พอดิบพอดี
จากผลงานหนังสือรวมเรื่องสั้นแนวสยองขวัญติดอันดับ The New York Times Best Sellers ที่มีชื่อว่า ’20th Century Ghosts’ (2015) เขียนโดย โจ ฮิลล์ (Joe Hill) ซึ่งเขาก็คือลูกชายของ ‘สตีเฟน คิง’ (Stephen King) เจ้าพ่อสยองขวัญระดับตำนานนั่นเอง และยังได้พี่ อีธาน ฮอว์ก (Ethan Hawke) ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน ‘Sinister’ (2012) กลับมาร่วมชายคาบลัมเฮาส์อีกครั้ง