I Came By (2022) แวะมาในเงามืด
ภาพยนตร์ระทึกขวัญเรื่องใหม่ผลงานออริจินัลจากทาง Netflix ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงนักแต่ก็น่าสนใจมากเลยทีเดียวกับเรื่องราวการขับเคลื่อนสังคมแบบฉบับเด็กติสท์ผ่านการเปิดเผยความลับอันมืดมิดของผู้พิพากษาที่มีชื่อเสียงอันโด่งดัง ด้วยฝีมือการกำกับของ Babak Anvari ที่เคยผ่านภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง Under the Shadow (2016) และ Wounds (2019) พร้อมกับการนักแสดงโดย Hugh Bonneville นักแสดงรุ่นเก๋าและ George MacKay, Percelle Ascott และ Kelly Macdonald ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่มีโฆษณา
Toby Nealey (รับบทโดย George Mackay) ที่ได้เข้าไปค้นพบความลับอันบิดเบี้ยวและมืดมนของ Hector Blake (รับบทโดย Hugh Bonneville) ผู้พิพากษาที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง แม้ภายนอกจะดูน่าเชื่อถือแต่ข้างในลึกๆ เขากลับมีความลับอันมืดมิดที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดไว้ในห้องใต้ดินที่บ้านของเขา ด้วยเหตุการณ์ทั้งหมดทั้งมวลนี้จึงนำไปสู่เรื่องราวที่อันตรายและน่าสะพรึงกลัว ดูหนังออนไลน์
ตัวหนังมีความยาวเกือบสองชั่วโมง เปิดมาได้น่าตื่นเต้นดีค่อยๆ เล่ารายละเอียดของตัวละครแบบสบายๆ ไม่ได้อัดข้อมูลหนักจนรู้สึกเหนื่อย ชวนดูได้เรื่อยๆ ภาพรวมของบรรยากาศก็ทำออกมาได้มีความน่าตื่นเต้นและอึดอัดไปพร้อมๆ กัน ไดนามิกของเรื่องก็มีความกลางๆ ไม่ได้ตื่นเต้นจนถึงขั้นสุดหรือถึงกับน่าเบื่อ โดยรวมแล้วก็ถือว่าทำออกมาได้โอเคเลย ดูหนังฟรี
มีหลายฉากที่ทำเอาเซอร์ไพรส์อยู่พอสมควร อย่างฉากที่มีการเอาการ์ตูน Rick and Morty เข้ามาในเรื่องด้วย (555) แต่ก็ยังมีไม่ภาพจำหรือฉากที่น่าประทับเท่าไหร่นัก ภาพรวมของเนื้อหาดูเน้นหนักไปทางดราม่า มากกว่าการพูดถึงประเด็นสังคมและความลับอันมืดมิดของตัวละคร ดูหนังระทึกขวัญ
สำหรับการออกแบบตัวละครก็เหมือนจะเกือบดี แต่ก็ยังดูเหมือนว่าหนังเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะให้ผู้ชมอยู่จุดไหนของเรื่องจะเลือกอยู่ฝั่งคนดีก็ไม่ได้ จะไปอยู่ฝั่งตัวร้ายก็ไปไม่สุด มันเลยติดอยู่กึ่งกลางระหว่างความไม่แน่ใจอะไรบางอย่างที่ก็ไม่ค่อยจะดีนัก ซึ่งถ้าตัวหนังสามารถเทน้ำหนักไปเล่าเรื่องฝั่งใดฝั่งหนึ่งได้อย่างละเอียดจะสนุกมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก ซึ่งก็เป็นจุดที่แอบเสียดายจริงๆ
หนังแนวระทึกขวัญที่ไม่ได้เดินเรื่องไปแบบสืบสวนโดยตรงผ่านตำรวจ เพราะในเรื่องนี้ตัวเอกคือเด็กหนุ่มที่ยังมีปัญหาดูแลชีวิตตัวเองไม่ได้ และการที่เขาตั้งใจบางอย่างเพื่อเปลี่ยนโลกก็เป็นอาชญากรรมที่เปิดเผยตัวไม่ได้ แต่กลับไปพบอาชญากรรมที่ใหญ่กว่าของตัวเอง จึงทำให้เรื่องไม่ได้เป็นแนวไล่ล่าสืบสวน แต่เป็นการพยายามหาทางจัดการปัญหาที่เกินตัวด้วยความสามารถของเขาเอง เป็นฮีโร่จำเป็นแบบพลเมืองดี ซึ่งเรื่องถูกเน้นไปที่การตัดสินใจกระทำลงไปของแต่ละคน ทั้งเด็กหนุ่มทั้งคู่ที่มีปัญหาแตกคอกับการที่คนหนึ่งไม่อยากร่วมด้วยเพราะต้องดูแลครอบครัว
ส่วนอีกคนคือเชื่อในการกระทำของตัวเองจนไม่ฟังใคร แล้วก็มีแค่ของเขามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ด้วย ทำให้เรื่องค่อยๆ ไล่ตามลำดับปัญหาของแต่ละคนจนครบ ซึ่งก็วนกลับมาที่ชื่อเรื่องเป็นแมสเซจสำคัญในตอนสุดท้ายอีกครั้ง ตัวหนังพยายามชี้ให้เห็นว่าการที่คนปกติทั่วไปจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างที่เกินตัวเพื่อสังคมต้องใช้ความกล้าเข้าแลกแค่ไหน ซึ่งอาจจะดูเป็นตอนจบที่เหมือนฮีโร่ดี แต่มันกลับไม่ค่อยสมเหตุผลกับเรื่องหลักนัก เพราะด้วยความที่เรื่องพยายามทำแนวฮีโร่เป็นคนปกติ ทำให้พวกการสืบสวนทางการในเรื่องถูกตัดประเด็นออกไปง่ายๆ แบบไม่ค่อยมีเหตุผล
แม้จะวางให้ตัวร้ายเป็นอดีตผู้พิพากษาที่มีเส้นสายมากมายคอยช่วยเหลือ แต่หลายอย่างก็ไม่น่าเป็นไปได้ จนดูแล้วมีคำถามตามมาเสมอว่าทำไมตำรวจอังกฤษบกพร่องกับงานขนาดนั้น หรือแม้แต่บ้านของตัวร้ายที่ติดระบบเตือนภัยทั้งบ้านกลับไม่มีกล้องวงจรปิดไว้สักตัวทั้งนอกบ้านในบ้านที่ดูผิดปกติมาก ถึงจะอ้างว่าเพื่อไม่ให้มีหลักฐานบันทึกไว้ก็ยังดูไม่สมเหตุผลอยู่ดี
โทบี้ (จอร์จ แมคเคย์) และเจย์ (เพอร์เซลเล่ แอสคอตต์) เป็นศิลปินกราฟิตีที่บุกเข้าไปในบ้านของคนรวยและฉีดป้าย ‘I Came By’ บนผนัง เมื่อพวกเขาเจอบ้านสุดหรูของเซอร์ เฮคเตอร์ เบลค (ฮิวจ์ บอนเนวิลล์) ผู้พิพากษาเกษียณอายุ พวกเขาค้นพบความลับที่รุนแรงที่ไม่มีใครคาดคิด
บุกเบิกฉากในปี 2016 ด้วยภาพยนตร์สารคดีเรื่องแรกของเขาเรื่องUnder The Shadowซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่เฉียบแหลมและเฉียบแหลมทางการเมืองที่เฉียบแหลมซึ่งชนะรางวัลบาฟตาสำหรับการเปิดตัวครั้งแรกของนักเขียนและผู้กำกับ I Came Byภาพยนตร์เรื่องที่สามของเขามีรายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อยของการ์ดโทรศัพท์นั้น แต่คำใบ้ของสัญญาแรกนั้นบางครั้งก็กระจัดกระจายไปทั่ว
มันเป็นสิ่งที่กระโดดข้ามประเภท ภาพยนตร์เรื่องนี้เริ่มต้นจากการประมาณวัฒนธรรมเยาวชนในเมืองที่ค่อนข้างหยาบ: เสื้อฮู้ดสองสามตัวที่มีส่วนร่วมในการไม่เชื่อฟังทางแพ่งที่มีความเสี่ยงสูง จอมโจรหัวรุนแรงหัวรุนแรงที่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีและหัวรุนแรงชูนิ้วกลางไปที่สถานประกอบการโดยบุกเข้าไปในบ้านราคาแพงและทิ้งป้ายชื่อไว้ โทบี้ ( จอร์จ แมคเคย์ ) เป็นประเภทโรบินฮู้ดหัวดื้อ ฉากแรกสุดซุ่มซ่ามแสดงให้เห็นว่าเขาขโมยของจากคนรวยเพื่อมอบให้คนจนอย่างแท้จริง ในขณะที่เจย์ (เพอร์เซลเล่ แอสคอตต์) หุ้นส่วนในอาชญากรรมที่ฉลาดกว่าของเขาอยู่ใน ทางครอบครัวและต้องการออกจากเกม
จากนั้น เมื่อโทบี้ถูกครอบงำด้วยบางสิ่งที่มากกว่าที่เขาต้องการ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นกระบวนการพิจารณาคดีของตำรวจผู้สูญหาย ก่อนที่จะลงเอยกับภาพยนตร์ระทึกขวัญแนวจิตวิทยาสยองขวัญในท้ายที่สุด การสั่นคลอนระหว่างสไตล์และการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในมุมมองของตัวละคร (โดยพื้นฐานแล้วมีผู้นำสามคนที่ผลัดกันแสดงสำหรับแต่ละการกระทำ) อาจรู้สึกไม่สม่ำเสมอ แต่มันได้ผลอย่างประหลาด ทำให้การดำเนินการนั้นน่าประหลาดใจและมีส่วนร่วมเมื่อความสนใจขู่ว่าจะตกต่ำ
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือชายผู้อยู่เบื้องหลังความสยองขวัญนั้น เซอร์ เฮคเตอร์ เบลก รับบทโดยฮิวจ์ บอนเนวิล ล์ ในบทต่อต้านประเภทอันรุ่งโรจน์ Bonneville มาพร้อมสำเนียงชนชั้นสูงที่น่าพึงพอใจซึ่งสร้างความพึงพอใจ ให้กับแฟนๆ Downtonมาหลายปี Bonneville นั้นยอดเยี่ยมในเรื่องหน้าที่ของวายร้าย สวมบทบาทเป็นนักบุญที่ควรจะเป็นนักกฎหมายที่มีความลับดำมืดบางอย่างในห้องใต้ดินของเขา เขายังคงรักษาความสุภาพเรียบร้อยของโรงเรียนรัฐบาลเอาไว้ ในขณะที่ปล่อยให้แสงสะท้อนของฮิสทริโอนิกส์ที่ไม่ถูกปิดบังอย่างแท้จริง บทเรียนเกี่ยวกับบุคคลสำคัญที่มีอดีตอาณานิคมนั้นเกิดขึ้นอย่างงุ่มง่ามอีกครั้ง แต่การแสดงที่ยอดเยี่ยมของ Bonneville ยังคงดำเนินต่อไป
มีตัวเลือกแปลก ๆ ที่อื่น กล้องติดอยู่กับตัวละครที่ดูRick And MortyและThe Great British Bake Offนานกว่าที่จำเป็น ทำให้เราสงสัยว่ามีความหมายลึกซึ้งกว่าที่จะอนุมานได้จากเคล็ดลับในการทำขนมของ Paul Hollywood หรือไม่ การถ่ายภาพยนตร์นั้นแบนอย่างผิดปกติ ผมของ George MacKay เปลี่ยนสีอย่างน้อยหนึ่งครั้งโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ถ้ามันรู้สึกยุ่งเหยิงเล็กน้อย ความคิดที่สับสนจะรวมกันเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่น่าพึงพอใจในระดับปานกลาง ซึ่งเป็นระบบชนชั้นของอังกฤษที่น่ารังเกียจ
ตัวเรื่องค่อยๆ แง้มให้เราเห็นการกระทำของตัวอดีตผู้พิพากษาที่ภายนอกดูเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่เบื้องหลังกลับโหดเหี้ยมวิปริตเหมือนปีศาจ นักแสดงก็เล่นได้ดีเลยมีบางอารมณ์ดูคล้ายฮันนิบาลเล็คเตอร์นิดๆ ด้วย ตัวเรื่องค่อยๆ ทำให้เราเห็นรูปแบบพฤติกรรมและที่มาที่ไปของความวิปริตของเขาผ่านการสนทนากับเหยื่อในเรื่อง แต่ไม่มีฉากโหดให้เห็นตรงๆ ถือว่าน่าเสียดายอยู่ที่บทเขียนได้วิปริตแล้วแต่กลับแค่นำเสนอแบบผ่านๆ ให้คนดูพอเข้าใจว่าเขาทำอะไรลงไปเท่านั้น
แต่ในด้านการแสดงก็ต้องชื่นชมนักแสดงทุกคนจริงๆ แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ชอบสีหน้า แววตา ท่าทางของนักแสดงทุกคนที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้จริงๆ ซึ่งแครักเตอร์ก็เข้ากับนักแสดงทุกคนมาก โดยเฉพาะตัวละครของ Toby Nealey ที่รับบทโดย George Mackay แววตากับสีหน้าดีมาก น่าประทับใจสุดๆ
ในด้านของภาพทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แสง สีสวยมาก ทำบรรยากาศออกมาได้น่าอึดอัดดี ชอบการเอาเรื่องราวของกราฟิตี้มาผสมเข้ามาในเรื่องด้วย แต่ภาพรวมก็ดูเป็นหนังระทึกขวัญทั่วไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น โดยรวมด้านเพลงประกอบก็เลือกได้ดีแต่ก็ยังมีบางฉากที่พอตัดมาเข้ากับเสียงแล้วมันดูไม่ค่อยไปด้วยกันเท่าไหร่นัก
แม้ว่าจะโดยรวมแล้วจะไม่ได้มีความหวือหวาหรือชวนให้ตื่นเต้นลุ้นระทึกแบบสุดๆ ขนาดนั้น แต่สำหรับ I Came By (2022) ก็ยังเป็นหนังระทึกขวัญที่ทำออกมาได้อย่างดี ครบถ้วนทุกองค์ประกอบ บรรยากาศก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม การแสดงก็น่าประทับใจและยังมีประเด็นการขับเคลื่อนสังคมที่น่าสนใจอีกด้วย
เพราะเรื่องราวมันดูเบสิค และแบบราบเหลือเกิน ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่หรือน่าดึงดูดใจอะไรมากนัก เป็นพล็อตแบบที่เราน่าจะเคยเห็นในหนังเรื่องอื่นมาก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามันจะจำเจ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะแย่เสมอไป เพราะหนังเรื่องนี้ถือว่ามีดีอยู่เหมือนกัน ไม่ได้น่าเบื่อจนเบือนหน้าหนี ยังมีหลายฉากหลายซีนที่พอดึงดูดผู้ชมไว้ได้ บางฉากก็ลุ้นดีเหมือนกัน บทเรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรมากมาย ผู้พิพากษาแสร้งเป็นคนดี แต่ที่จริงเป็นพวกโรคจิต ชอบจับเด็กผู้ชายมาสังหารเพื่อความสนุก และด้วยความที่เป็นผู้พิพากษาเลยมีเพื่อนสนิทเป็นหัวหน้าตำรวจ ก็เลยหลุดรอดไปได้ตลอด งานนี้แม่และเพื่อนสนิทจึงต้องออกโรงเอง เนี่ยเนื้อเรื่องมีแค่นี้เลยจริง ยังดีที่การดำเนินเรื่องทำได้ไม่แย่ หนังเลยไม่น่าเบื่อและออกแนวดูไปได้เรื่อยๆ
ผมชอบตรงนี้แหละ ไม่มีแบบปาฏิหาริย์หรืออะไรแบบนั้น ถ้าพลาดโดนจับไปก็คือจบอย่างเดียว ส่วนนี้มันทำให้บรรยากาศในเรื่องมันกดดันมากขึ้น ทำให้คนดูลุ้นมากขึ้น ซึ่งถือว่าช่วยพยุงหนังได้ในระดับนึงเลย มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครนี้มันเอาจริง ต่อมาด้านการแสดง ในส่วนนี้ผมไม่มีอะไรจะตินะ นักแสดงหลักทุกคนแสดงได้ดีหมดเลยจริงๆ ไม่มีฉากไหนที่รู้สึกว่าดูไม่เป็นธรรมชาติเลย แต่ขอติอย่างเดียวเลยคือตัวละครผู้พิพากษาที่เป็นตัวร้าย คืออย่างที่บอกมันสังหารทิ้งหมด แต่ภาพลักษณ์ตัวละครมันดูไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เลยทำให้ภาพรวมของตัวละครนี้ออกมากลางๆ ไม่ได้ดูอันตรายหรือกดดันอะไรขนาดนั้น ถ้าหากทำตัวร้ายให้ดูทรงพลังและน่าเกรงขามมากกว่านี้จะดีมากๆ เลย
ส่วนสุดท้ายด้านงานภาพและโปรดักชั่น ส่วนนี้คือทำได้ดีตามมาตรฐานเลย บางฉากก็ถ่ายทำออกมาได้สวยงามดี โทนสีภาพที่เลือกใช้ก็ดีและเป็นส่วนที่ช่วยสร้างบรรยากาศในเรื่องได้ดี สีออกแนวฟ้าๆ หม่นๆ จัดแสงได้สวยงาม โดยรวมคืองานภาพออกมาดูดีใช้ได้เลย ส่วนด้านการโปรดักชั่นก็ดีไม่แพ้กัน เสื้อผ้าหน้าผมตัวละคร การตัดต่อ การลำดับเสียง ออกมาในเกณฑ์ดีทั้งหมด งานภาพและโปรดักชั่นถือว่าทำออกมาได้ดีตามมาตรฐาน Netflix อธิบายแบบนี้น่าจะเข้าใจง่ายกว่า สรุปโดยรวมคือ เป็นหนังแนวสืบสวนไล่ล่าหาความจริงที่พอดูได้เพลินๆ เรื่อยๆ ไม่ได้น่าเบื่อจนอยากหลับ แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นจนลุ้นทุกวินาที อันนี้ขึ้นกับความชอบแต่ละคน ทุกคนคงต้องไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเอง