แอดมินรอคอยที่จะชมภาพยนตร์เรื่อง DUNE อย่างใจจดใจจ่อ โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าผู้กำกับคือ Denis Villeneuve ผู้สร้างผลงานอันเป็นตำนานอย่าง Blade Runner 2049 แม้ว่า Blade Runner 2049 จะเป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยม แต่ก็อาจไม่เหมาะกับผู้ชมที่รู้สึกเบื่อหรือหลับง่าย เพราะเน้นการสร้างเนื้อหาเข้มข้น
หลายคนกังวลว่า DUNE จะเน้นเนื้อหาจนน่าเบื่อ แต่หลังจากได้ ดูหนังdune (2021) ดูน แล้ว แอดมินรู้สึกประทับใจมาก เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด และดำเนินเรื่องได้รวดเร็วกว่า Blade Runner 2049 เนื้อเรื่องย่อยง่าย น่าติดตาม และเข้าใจง่าย
DUNE ดัดแปลงจากนิยายไซไฟ ที่เป็นตำนาน ถือเป็นมหากาพย์ที่มีเรื่องราวความยิ่งใหญ่ อลังการ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์อื่นๆ เช่น Star Wars
ภาพยนตร์เล่าเรื่องราวในอนาคตหลายพันปี เต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย การเดินทางข้ามจักรวาล และระบบการปกครองแบบจักรวรรดิ
แอดมินขอแนะนำภาพยนตร์เรื่อง DUNE สำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบภาพยนตร์ไซไฟ แอ็คชั่น ผจญภัย และมหากาพย์สุดอลังการ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน!
สำหรับแฟน ๆ ภาพยนตร์ Arrival และ Blade Runner 2049 คงคุ้นเคยกับสไตล์การกำกับของ Denis Villeneuve เป็นอย่างดี ภาพยนตร์ของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เต็มไปด้วยรายละเอียด และไม่รีบร้อน แต่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมให้ติดตามจนวางไม่ลง แม้จะไม่มีฉากแอคชั่นมากมายก็ตาม
แต่เมื่อถึงฉากแอคชั่น Villeneuve ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เขาสามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจผ่านแสงสี เสียง และเอฟเฟคที่ตระการตา ยิ่งใหญ่อลังการ สมจริง และเหนือชั้น
นอกจากนี้ งานภาพและเสียงที่ยอดเยี่ยมยังเป็นจุดเด่นสำคัญในภาพยนตร์ของเขา ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศและอารมณ์ของเรื่องราวได้อย่างลงตัว เพิ่มอรรถรสและความอีพีคให้กับภาพยนตร์ได้อย่างมาก
ความกังวลเกี่ยวกับการย่อส่วนนิยายที่มีมากกว่า 800 หน้าเข้าสู่เรื่องนี้อาจจะมีมาก แต่ขอบอกว่าไม่ยากอย่างที่คิด เพราะเรื่องนี้เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของนิยายทั้งหมดเท่านั้น ผลงานที่ออกมานั้นยอดเยี่ยม โดยเน้นการสร้างพื้นฐานตัวละครและความสัมพันธ์เป็นหลัก การเล่าเรื่องไม่เคยน่าเบื่อหรือช้า มีการแทรกฉากต่อสู้และเรื่องราวอื่นๆ ทำให้สามารถติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง และเป็นเพียง PART 1 ทำให้ตอนจบมีทิศทางชัดเจนสำหรับภาคต่อ ซึ่ง Denis Villeneuve ได้ทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจ
นำทีมโดย ทิโมธี ชาลาเมต์ รับบทเป็น พอล อะเทรดีส ทายาทของตระกูลอะเทรดีส ร่วมด้วย เซนเดยา รับบทเป็น ชานี หญิงสาวชาวเฟรเมน เจสัน โมโมอา รับบทเป็น ดันแคน ไอเดโฮ ทหารผู้ซื่อสัตย์ เดฟ บอทิสตา รับบทเป็น กลอสซู ราบาน ทหารรับจ้าง และสเตลแลน สการ์สการ์ด รับบทเป็น บารอน ฮาร์คอนเนน ศัตรูตัวฉกาจของตระกูลอะเทรดีส
สำหรับงานภาพและเสียง ซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุดในปีนี้ ด้วยงานเสียงจากฮานส์ ซิมเมอร์และงานภาพจาก Greig Fraser ที่ร่วมมือกันสร้างผลงานระดับเทพ โทนของหนังและซาวด์ที่ลงตัว ทำให้หวังว่าจะได้ไปถึง OSCARS งานภาพที่สร้างโทนสีได้อย่างลงตัว รวมถึงมุมมองและดีเทลที่อลังการ โดยใช้ CG น้อยที่สุด และงานเสียงที่มีพลังและส่งผลต่อหนัง แนะนำให้ดู dune (2021) ดูน พากย์ไทย ใน IMAX สำหรับประสบการณ์ที่ดีที่สุด
การประพันธ์ดนตรีของ Hans Zimmer สำหรับตัวอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่ตัวอย่าง แต่เมื่อได้ยินในภาพยนตร์จริงๆ กลับกลายเป็นจุดสุดยอดของความตื่นเต้น มีกลิ่นอายคล้ายกับใน Blade Runner 2049 มันดูยิ่งใหญ่ ล้ำหน้ากาลเวลา และมีความหลอนแฝงอยู่ บางฉากทำให้รู้สึกขนลุกเพราะดนตรีที่สร้างความตื่นเต้นได้อย่างลงตัว ผสานกับการออกแบบเสียงที่เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ (Oscar สาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยมคงต้องสั่นคลอนเช่นเดียวกับใน Blade Runner 2049 อย่างแน่นอน) แทร็คที่โดดเด่นที่สุดคือ ‘Paul’s Dream’ ที่ในตัวอย่างดูอลังการ แต่เมื่อได้ยินในโรงภาพยนตร์กลับทำให้รู้สึกตื่นเต้นยิ่งขึ้น นี่ยังไม่นับรวมถึงการกำกับภาพของ Greig Fraser ซึ่งการดูในโรง IMAX จะทำให้ประสบการณ์นี้ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น แม้แต่การดูในโรงภาพยนตร์ธรรมดาก็ยังทำให้รู้สึกขนลุกได้ หากได้ดูในจอที่ใหญ่กว่านี้ ความตื่นเต้นคงจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
โดยรวมแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานระดับเทพที่สามารถเทียบได้กับนิยายและมหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่ สามารถเล่าเรื่องราวต่อไปได้อีกหลายภาค เช่นเดียวกับ Lord of The Rings มีความอลังการ คุณภาพสูง และมีเรื่องราวให้เล่าต่อได้อีกมากมาย โดยเฉพาะการสร้างความเข้าใจในเรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละคร ซึ่งทำให้เชื่อว่าภาคต่อไปจะมีการลุยเต็มที่มากกว่านี้ ทำให้ภาคแรกอาจจะไม่ได้มีความตื่นเต้นมากนัก แต่การเล่าเรื่องที่ดีทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าสนใจกว่าที่คิด ผู้ชมไม่รู้สึกสับสน ไม่รู้สึกง่วง และตัวละครถูกแบ่งปันมาอย่างดี ทำให้เรื่องราวเข้าใจง่าย ซึ่งดีกว่าการทำในยุคแรกๆ และส่วนตัวรู้สึกประทับใจมาก
หลังจากที่ได้ชม Dune แล้ว สามารถพูดได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานไซไฟที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจ แม้ว่ารสชาติของมันอาจจะยังไม่เข้มข้นหรือตอบโจทย์ความคาดหมายของผู้ชมทุกคน แต่เมื่อพิจารณาว่านี่เป็นแค่บทนำของเรื่อง ก็ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมจึงต้องมีการต่อยอดในภาคต่อไป หากไม่มีการสานต่อเรื่องราว ก็คงจะทำให้ผู้ชมหลายคนรู้สึกไม่พอใจ เพราะภาคนี้ก็เสมือนกับแกงที่ใส่น้ำมากเกินไป ทำให้ชิ้นเนื้อที่อร่อยนั้นดูน้อยเกินไป สรุปแล้วก็เหมือนกับว่า…เต็มที่กับน้ำมากกว่าเนื้อนั่นเอง